เทศน์เช้า

บารมีธรรม ๒

๒๑ เม.ย. ๒๕๔๔

 

บารมีธรรม ๒
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์เช้า วันที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๔๔
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาตรัสรู้ธรรมขึ้นมา บารมีธรรมมันต่างกันขึ้นมา เวลาคนเขาไปยกย่องพระพุทธเจ้า ว่าพระพุทธเจ้านี่เป็นพระพุทธเจ้า แล้วมันมีสิ่งที่ว่าเกิดขึ้นเป็นพระพุทธเจ้า อำนาจวาสนาพระพุทธเจ้าไง พระพุทธเจ้าบอก “ไม่ใช่หรอก สิ่งที่เกิดขึ้นพระพุทธเจ้าทำมาทั้งหมดเลยนะ”

เวลาไปปรินิพพาน ไปน้ำนี่ขุ่นหมดเลย แล้วเวลาตัก เทวดาดลด้วยฤทธิ์นะ ให้เฉพาะที่ตรงตัก ตรงที่เฉพาะเอาบาตรตักลงไปนะ น้ำนั้นใส พระอานนท์นี่งงเลย เพราะน้ำมันขุ่นไปหมด ใสเฉพาะตรงที่ตัก แล้วธรรมดาปกติแล้วขุ่น น้ำมันขุ่น ตักต้องมีขุ่นมาด้วย

พระพุทธเจ้านี่แบบว่ากระหายมาก เรื่องกระหายมันเป็นเรื่องของร่างกาย แต่หัวใจนี่เป็นหัวใจ แล้วมันก็ยังใช้ไปตามธรรมชาติของมัน พอเราตักขึ้นมาตรงนั้นใสนะ พระอานนท์บอกพระพุทธเจ้า “สิ่งที่ไม่เคยมีไม่เคยเป็นเกิดขึ้นมาแล้ว น้ำนี้ขุ่นหมดเลย ใสเฉพาะตรงที่ตัก” พระพุทธเจ้าบอก “บารมีธรรมควรสะสมเป็นอย่างยิ่ง”

อันนี้ก็เหมือนกัน ครูบาอาจารย์ท่านมีบารมี ถ้าไม่มีบารมีทำงานอย่างนี้ไม่ได้ บารมีของแต่ละบุคคลนะ แล้วทำมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ครูบาอาจารย์ที่สิ้นกิเลสแล้ว บารมีธรรม ทำเพื่ออะไร? เพื่อสังคมโลกไง เพื่อสัตว์โลก เพื่อคนอื่น ไม่ได้เพื่อตนเองเลย

ถ้าเพื่อตัวเอง ตั้งแต่วันที่สิ้นนะ อย่างพวกเราตอนมีกิเลสอยู่ ทุกคนมีกิเลสอยู่ ปรารถนาความสุข ปรารถนาอยากได้อยากมี อยากทุกอย่างเลย แต่ความอยาก เห็นไหม มันจะเป็นกิเลส แต่มันก็เป็นความดี มันเป็นมรรคไง

ทุกคนต้องมีความอยากก่อน อยากเพื่อให้ถึงที่สิ้นสุดไง แห่งกิเลส ถ้าถึงที่สิ้นสุดแห่งกิเลสแล้วความอยากนั้นทั้งหมดจะหมดไป พอความอยากอันนั้นหมดไป มันต้องการอะไรขึ้นมาหรือไม่ต้องการ แต่มันเป็นความวิมุตติสุขในหัวใจ ตนเองเป็นที่พึ่งตนเองได้... (เทปขัดข้อง) ...ให้คนอื่นได้ หลักการอันนี้สำคัญที่สุดเลย สำคัญที่ว่าท่านไม่ต้องการปรารถนาสิ่งใด มันถึงจะเป็นไป เป็นธรรมไง มันถึงเป็นธรรม มันถึงเป็นความพอดีว่า เพราะไม่ต้องปรารถนา

แต่ถ้าลองเป็นอำนาจวาสนาของโลกเขาใช่ไหม? อำนาจวาสนาบารมีของโลกเขาไม่เป็นบารมีธรรม เพราะบารมีธรรม บารมีแล้วธรรม แต่อำนาจวาสนาของโลก มันเป็นการตกแต่งนะ เป็นเล่ห์เป็นเหลี่ยมได้ เป็นเล่ห์เป็นเหลี่ยมเป็นการแย่งชิงกันไง คุณงามความดีของโลก เป็นการแย่งชิงคุณงามความดีกันแล้วเบียดเสียดกัน แล้วเจ็บปวดแสบร้อนนัก

คนที่ไม่จริง คนที่ไม่ได้สร้างจริง แต่มีความฉลาด มีปัญญา มีการศึกที่แยบยลกว่า สามารถดึงผลงานของคนอื่นเป็นของตัวเองได้ ไม่มีทำก็ว่าอย่างนั้น ทำขึ้นมาแล้วไม่ทำอย่างนั้นก็ขู่กันแก้กัน แก้ไปจากกันตามเรื่องของโลกเขา เรื่องของโลกเขามันเป็นเรื่องของการเอาเปรียบ การเอารัดเอาเปรียบกัน แต่บารมีธรรมนี่เป็นของบุคคล ครูบาอาจารย์สั่งสมมาอย่างนั้น

เราถึงควรทำไง เรามาทุกข์มายากกันอยู่อย่างนี้ คำว่า “ทุกข์ยาก” นะ ถ้าเรามีความสุขมีความพอใจทำ เราสะสมขึ้นมาของเรา บุญกุศลสะสมขึ้นไป เราเห็นว่าเป็นบุญกุศลจริงแล้วเราสะสมขึ้นไป มันจะเป็นของเรา เราสะสมเท่าไหร่เป็นของเราทั้งหมดเลย นี่บารมีธรรมสะสมมาอย่างนั้น

แล้วมันจะถึงเวลาไปภาวนาไง ถ้าภาวนาไปอินทรีย์แก่กล้า ถ้าอินทรีย์แก่กล้า เห็นไหม พยายามทำอยู่แล้วมันก็ไม่ได้สมประกอบ เวลาครูบาอาจารย์มา พระพุทธเจ้าพยายามสะสม พยายามจะดึงรื้อสัตว์ขนสัตว์ เห็นไหม ปรารถนาให้เป็นไปทั้งหมดเลย แต่มันเป็นไปไม่ได้เพราะอะไร? เพราะความเห็นคนมันต่างกัน ถ้าบารมีเราไม่แก่กล้า บารมีเราไม่ถึง มันเห็นเรื่องนี้เป็นของเล็กน้อยนะ นี่ธรรมะเป็นของลึกซึ้ง เป็นของกว้างขวาง ลึกซึ้งมาก กว้างขวางมาก จนเราไม่สามารถจับต้องได้

นี้ก็เหมือนกัน ความเห็นที่ว่าละเอียดอ่อนขึ้นมา มันเห็นเป็นของที่ไม่มีคุณค่าไง ถ้าเห็นว่าเป็นของมีคุณค่านะ มันจะทำเข้ามาละเอียดอ่อนๆ เข้าไปเรื่อย ลึกซึ้งเข้าไปจนละเอียดอ่อนจน ปล่อยวางไปเรื่อย ความปล่อยวางมีคุณค่ามากที่สุดเลย แต่มันปล่อยวางไม่ได้ล่ะ

ความปล่อยวาง เห็นไหม ถ้าพูดเปรียบถึงทางโลก ความปล่อยวางเป็นสิ่งที่จืดชืดที่สุดเลย แต่ความจืดชืดนี้เราจะทำไม่ได้ล่ะ การแสวงหาการได้มาเป็นการตื่นเต้น เราได้สิ่งใดมา มันจะมีความตื่นเต้น มีความพอใจมาก มีความอยากที่ว่าอยากจะได้มากขึ้นไป อยากจะสะสมมากขึ้นไป ความอย่างนั้นมันเป็นสิ่งที่โลก

ความหยาบ มันหยาบเพราะอะไร? เพราะมันฟูไง จิตมันฟู จิตมันต้องการ จิตมันแสวงหาขึ้นไปแล้วมันยิ่งฟูขึ้นไป ยิ่งฟูขึ้นไปอารมณ์มันยิ่งเคลื่อนไหวไป ถ้ามันเป็นความสุขเราก็พอใจ ถ้ามันเป็นความทุกข์ เราคิดเข้าไป เหมือนกับทะเลปั่นป่วนในหัวใจของเรา มันปั่นป่วนนะ มันทำใจของเราให้ปั่นป่วนไปหมดเลย นั่นความหยาบๆ

สิ่งที่หยาบๆ จิตใจมันกระทบได้ มันจับต้องได้ มันถึงว่าอันนั้นมันเป็นประโยชน์ มันต้องการ แต่สิ่งที่ว่าเราปล่อยวาง สิ่งที่ว่าให้มันอยู่ความสงบ เราคิดว่ามันจะไม่มีความสุข มันจะเป็นไปไม่ได้ มันกลับเป็นสิ่งที่ว่าเป็นประโยชน์กับใจดวงนั้น ถ้าใจดวงนั้นหัดปล่อยวาง จิตนี้ตั้งมั่น จิตนี้ชำนาญในสัมมาสมาธิ จิตนี้มีการใคร่ครวญ มันเป็นเนื้อของจิตไง

ปัญญาอยู่ที่ใจ ปัญญาไม่ได้อยู่ที่สมอง ปัญญาอยู่ที่สมอง ความคิดนี่เป็นความคิดของสมอง ความคิดจากสมองเป็นความคิดของกรงขังไง กรงขังของขันธ์ ๕ กรงขันธ์ของความคิด ความปรุง ความแต่ง มันคิดได้ขนาดนั้นเอง ความคิดของโลกเขามันคิดได้อย่างนั้น

มันถึงว่ามันไม่สามารถชำระกิเลสได้ มันถึงว่าต้องเวียนไป มันเป็นความคิดเหมือนกับเงากับร่างกายมันต่างกัน ร่างกายเป็นร่างกาย แต่เงานี่มันเปลี่ยนไป มันอยู่นอกร่างกาย ความคิดนี้ก็เหมือนกัน ความคิดมันไม่ได้เกิดจากใจ มันเป็นความคิดเกิดจากสมอง มันเป็นความคิดที่อยู่ข้างนอก มันเป็นการสะสม มันเป็นการเพิ่มเติมเข้าไป

มันถึงว่าอำนาจวาสนา เราถึงมองไม่เห็นความละเอียด ความสุขุมคัมภีรภาพที่ว่ามันจะเกิดขึ้นมาจากใจ แต่ถ้าความคิดขึ้นมาจากใจ มันออกมาจากในที่มันต้องจิตตั้งมั่นก่อน จิตต้องมีความสงบพอสมควรก่อน จิตมีความสงบเข้ามา ความคิดที่ว่ามันเป็นเนื้อของใจ มันจะสามารถเข้าไปชำระเรื่องของหัวใจได้ มันจะเห็นความลึกของหัวใจไง มันจะเห็นสาระคุณไง สาระคุณว่า

“สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งทั้งหลายต้องดับเป็นธรรมดา”

แม้แต่หัวใจที่ไปคิดเรื่องของเขา มันก็มีความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปในเรื่องของหัวใจแล้วรอบหนึ่ง ยังไปเกาะเกี่ยวกับสิ่งที่ว่าเป็นที่พึ่งภายนอก หวังจะหาข้างนอกนั้นเป็นที่พึ่ง หวังจะหาข้างนอกนี่เป็นสมบัติของตัวเอง มันเห็นไหม ตัวเองมันก็หลอกตัวเอง คือว่าตัวเองมันก็ไม่สามารถจะดำรงความเป็นตัวตนของมันได้แล้ว มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ตัวตนของมันเองมันก็ต้องแตกสลายไป แล้วมันจะไปเกาะเกี่ยวข้างนอกมันก็เกาะเกี่ยวไม่ได้ เกาะเกี่ยวไม่ได้เลย

แต่ถ้าเป็นสัมมาสมาธิ จิตที่ตั้งมั่นแล้ว เห็นไหม มันเป็นว่ามันเป็นสิ่งที่เกิดดับเดี๋ยวนั้น ปัจจุบันธรรม มันถึงว่าไม่มีระยะห่าง ระยะห่างระหว่างกายกับเงานั้น ระยะห่างความคิดสมองกับเนื้อของใจต่างกัน ระยะของความคิดของใจ ใจเกิดขึ้นจากใจ มันละเอียดขนาดนั้น

ถึงว่าเราควรสะสมอย่างยิ่ง บารมีธรรมนี่ควรสะสมอย่างยิ่งนะ บารมีธรรมที่เราทำกัน มันจะทุกข์จะยาก เพราะว่ากิเลสมันขับไส มันทุกข์มันยากนะ การแสวงหา การพยายามทำอะไรนี่ แต่มันเป็นการงาน

งานสิ่งใดมันเป็นงานทุกข์ยากทั้งนั้นนะ งานของโลกทุกข์ยากขนาดไหน เหงื่อไหลไคลย้อยเราก็ยังพอใจทำ แล้วงานนั้นมันทำแล้วเป็นงานประจำโลก เห็นไหม ทำขนาดไหนมันก็ได้สมบัติมา ได้สิ่งตอบแทนมา สิ่งตอบแทนมันติดตัวเราไปได้ไหม? มันเป็นความหลอกให้เราติดอยู่กับโลกเขา มันหยาบขนาดนั้นนะ

บารมีโลกไง บารมีโลกว่าคนนั้นมีอำนาจวาสนา คนนั้นเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ คนนั้นเป็นอะไร นี่อำนาจวาสนา เสร็จแล้วมันติดตัวไปได้ไหม? ถ้ามันจะติดตัวได้นะ มีอำนาจวาสนา อำนาจวาสนานั้นเปรียบกับเป็นธรรม เห็นไหม อำนาจวาสนาเผื่อแผ่คนอื่น อำนาจวาสนานั้นทำเพื่อให้เป็นบุญกุศลขึ้นมา สิ่งนั้นจะเป็นติดเนื้อติดตัวไป

นี่งานของโลกเขาเหนื่อยทุกข์แสนยาก เราก็พยายามทำอยู่เพราะมันพอใจจะทำ มันเป็นอารมณ์ของใจที่ใจมันพอใจ ใจมันพอใจว่าสิ่งนั้นมันเป็นประดับเกียรติไง นี่กินเพื่อกาม กินเพื่อเกียรติเรื่องของโลกเขา กินเพื่อการดำรงชีวิตนี้เรื่องของผู้ปฏิบัติธรรมไง ผู้ปฏิบัติธรรมจะให้ชีวิตนี้สืบต่อ ดำรงชีวิตของเราไว้พอ แค่ดำรงชีวิตไว้เพื่อจะสืบต่อเข้าไปหาเนื้อของธรรมนั้น

ถ้าเป็นเรื่องของธรรม มันเป็นเรื่องของว่าเราอำนาจวาสนานี้ มันเป็นเรื่องว่างานของธรรมมันละเอียดอ่อน มันทุกข์ยากกว่า แล้วมันเป็นเรื่องของตัวเอง แล้วมันจืดชืดไง มันไม่อยากทำ ถ้าเป็นงานของโลกเขาทำแล้วมันได้ มันอยากอยู่อย่างนั้น ทำแล้วมันได้มันเห็น แล้วมันประดับเกียรติของมัน แต่ทำประสาของธรรมนี้ทำเพื่อชำระไง ทำเพื่อมักน้อย ทำเพื่อสันโดษ แล้วเวลานั่งนานๆ เข้ามันก็เบื่อหน่าย ทำอยู่คนเดียวไม่เห็นได้อะไรขึ้นมาเลย ไม่เห็นได้อะไรขึ้นมาเลย...

นี่แหละบารมีธรรม นี่แหละคือการสละออกทั้งหมด เรามาประพฤติปฏิบัติ เราสละเรื่องของโลกทั้งหมดเลย เรื่องของโลกวางไว้แล้ว ไม่เกี่ยว เราเกิดมาจากโลกนะ ชีวิตเราเกิดมาจากโลกเขา แล้วเราอยู่กันในโลกเขา เราก็ดำรงชีวิตอยู่ในโลกเขาเป็นปัจจัยเครื่องอยู่อาศัย

แล้วเราเปิดตาอีกข้างหนึ่งเพื่อจะออกปฏิบัติธรรม งานนี้เป็นงานแสนทุกข์แสนยากเพราะอะไร? เพราะงานนี้เป็นงานเอาชนะตนเอง การชนะตนเองนี้แสนยาก ชนะคนอื่นหมื่นแสนชนะได้ แต่แพ้ตนเองตลอดเลย ตนเองสั่งการอย่างไรก็สั่งได้

ถ้าชนะตนเองขึ้นมาแล้ว ธรรมนี้มันเข้าถึงหัวใจ ธรรมนี้มันสถิตลงที่ใจ พอใจนี้มีธรรมขึ้นมามันก็หมดสิ้นนะสิ ความได้เปรียบความเสียเปรียบ ความผลักไสเขา ความเอารัดเอาเปรียบมันไม่มี นี่บารมีธรรม ธรรมถึงเป็นธรรมขึ้นมา

พอทำเป็นธรรมขึ้นมา สุขเกิดขึ้นจากหัวใจดวงนั้น หัวใจดวงนั้นได้ชำระกิเลสตามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทัน เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขนาดว่าตรัสรู้ไปแล้ว ถึงเป็นประโยชน์กับโลก สอนเทวดา สอนหมู่สัตว์ สอนเขาทั้งหมด สอนที่ตรงไหน?

สอนในเรื่องหัวใจไง เรื่องของหัวใจ เรื่องของอริยสัจภายใน ใจมันเกิดขึ้นทุกข์ขนาดไหน มันจับต้องได้ มันเห็น มันรู้เท่า เห็นว่าใจนี้เกิดขึ้นอย่างไร มันสร้างขึ้นมาเป็นอารมณ์ขึ้นมาได้อย่างไร แล้วมันปั่นป่วนอารมณ์ขนาดไหน

เราทำความสงบเข้ามา เห็นไหม มันสงบเข้ามา อารมณ์มันสงบตัวลง อันนี้เป็นสัมมาสมาธิ แล้วเกิดปัญญาขึ้นมา มีศีล สมาธิ แล้วมีปัญญา ปัญญาเข้าไปชำระล้างกิเลส เห็นไหม นี่สอนเทวดาสอนตรงนี้ไง เอาสิ่งที่ว่าเกิดในหัวใจดับในหัวใจนี่สอนเทวดา สอนอินทร์ สอนพรหม สอนทั้งหมดเลย

แต่ของเราเราไม่รู้ เราวิ่งตามมันเฉยๆ มันขับไสมันแสดงตนอย่างไร เราก็วิ่งตามมันออกไป เราไม่รู้ เราไม่เคยเห็น พอเราไม่เคยเห็น เราทำอย่างนั้นเข้ามา สอนเทวดา สอนหมู่สัตว์นั้นต้องมาฟังธรรม แต่ของเรานี่เจอครูบาอาจารย์อยู่ซึ่งๆ หน้า ถ้ามีอำนาจวาสนา นี่บารมีธรรม อันนี้ก็เป็นบารมีของเรา เพราะอะไร? เพราะมันจงใจ มันเงี่ยหูฟังไง มันหงายภาชนะขึ้นมาไง ของที่คว่ำอยู่มันหงายขึ้นมา หัวใจถ้ามันเปิดขึ้นมา มันฟังธรรมอันนี้ มันจะสามารถทำได้

บารมีธรรมข้างนอกเป็นบารมีธรรมข้างนอก บารมีธรรมของครูบาอาจารย์แต่ละองค์ บารมีธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นั้นเป็นขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเผื่อแผ่มาถึงเรา เราได้ประโยชน์จากบารมีธรรมอันนั้นไง เราได้ประโยชน์เราถึงได้ศึกษาธรรม เราถึงได้ปฏิบัติธรรม เราถึงได้สร้างคุณงามความดีตามเชื่อไง

เราเป็นคนตาบอดเชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ตาสว่าง เราเชื่อว่าทำอย่างนี้เป็นทางรอดของหัวใจที่มันจะรอดพ้นไปได้ แล้วบารมีธรรมอันนั้นเป็นขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราได้พึ่งพาอาศัย พึ่งพาอาศัยจนเป็นสมบัติของเรา ถ้าเราสร้างขึ้นมาเป็นสมบัติของเรา

ถ้าเป็นสมบัติของเรา เราจะได้เป็นสร้างประโยชน์ขึ้นไป ถ้าเราสร้างประโยชน์ของเราขึ้นได้ เห็นไหม สุขเกิดขึ้นจากภายใน สุขเกิดขึ้นจากเรา วิมุตติสุขเกิดขึ้นจากใจดวงนั้น ใจดวงนั้นถึงว่ามีธรรมเต็มหัวใจดวงนั้น ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมในใจดวงนั้น แล้วเผื่อแผ่ออกไป ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนได้ แล้วจะเผื่อแผ่ถึงกับสัตว์โลกได้ ถึงจะเป็นบารมีธรรมโดยสมบูรณ์ไง

เราถึงเกิดมาพบครูบาอาจารย์นะ มันควรจะภูมิอกภูมิใจ สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์ เราได้สิ่งมหัศจรรย์ แล้วเราได้เกิดร่วมสมัย แล้วเราทำขึ้นมาเป็นบุญกุศลของเรา เราต้องต่อยอดของเรานะ มีเล็กมีน้อยก็ต่อยอดของเราเพื่อสะสมเป็นบารมีธรรมขึ้นมา เพื่อให้มันภาวนาง่ายขึ้นไง เพื่อให้ใจนี้สัมผัสกับธรรมง่ายขึ้น สะสม...สะสมสมบัติขึ้นมาเพื่อให้อินทรีย์แก่กล้า อินทรีย์แก่กล้าจากสมบัติภายนอกที่สละออกไปเป็นบุญกุศลขึ้นมา

แล้วสมบัติภายในนี่เป็นนามธรรม ต้องมีอินทรีย์แก่กล้า ต้องมีหัวใจดวงนั้น ต้องมีหลักธรรมของใจนั้น ถึงไปสัมผัสธรรมอันนี้ได้ แล้วจะเป็นสมบัติส่วนตนของตน เอวัง